PHIKANES2515

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

วิถีชีวิตแนวคิดหลังเกษียณ, ปรับตัวหลังออกจากงานประจำทำไงดีนะ, คนวัยทองต้องใช้ชีวิตคุ้ม, งานที่เหมาะกับคนที่เลิกตอกบัตร, หมดเวลาวางปากกา, วางกิจ วางจิต วางชีวิตให้ถูกที่ถูกทาง, ไม่มีใครแก่เกินเรียนเร่งเขียนอ่านจนจบปริญญาชีวิตก็ได้, เป็น Idol ของลูกหลาน ผลงานมันฟ้อง







ตอนนี้ดิฉันได้มีวิถีชีวิตใหม่แล้ว มีอิสรภาพขึ้นแล้ว ไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้า เร่งขับรถฝ่าจราจรติดขัด น้ำท่วม ฝนตก เพื่อจะต้องไปทำงานตอกบัตรให้ทันเหมือนแต่ก่อนแล้ว  เพราะพอบริษัทที่ทำงานปิดตัวลง เพราะกิจการเจ้ง ก็เป็นอันว่าจำเป็นต้องยอมรับสภาพอยู่ต่อไปให้ได้ รอรับเงินประกันสังคมก้อนสุดท้ายตอนอายุ 55 ปี ไว้เลี้ยงตัวต่อไปตอนชราภาพอีกก้อน และก็ตัดสินใจเลือกใช้ชีวิตหลังจากการทำงานประจำตามบริษัทเอกชนเหล่านั้น ทั้งๆ ที่อีกใจก็ยังอยากจะกลับไปหางานทำอีกสัก 5 ปี 10 ปี  แต่ก็ต้องยอมจำนนท์ต่อเสียงเรียกร้อง เพื่ออะไรรู้ไหมคะ  ก็เพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนคุณสามีที่ก็ได้ผ่านการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด หรือที่นิยมเรียกกันว่า "เข้าโครงการเออลี่รีไทรด(Early Retire)" นั่นเองละค่ะ  เพราะเขากลัวจะเหงา เพราะต้องออกมาอยู่บ้านคนเดียว ลูกๆ บางคนก็มีงานทำแล้ว อีกคนก็กำลังเรียนพยาบาลอยู่ และต้องไปอยู่ประจำที่มหาวิทยาลัย  เหตุนี้ทำให้เราสองคนคิดทบทวนกันว่า 

"เอางี้ไหมล่ะจ๊ะตา"  "ถ้าเราอยู่บ้าน ชอบทำอะไรก็ทำกันไป อยากตื่นสายๆ 9 โมง บางวันก็ทำไป อยากจะไปทำบุญทำทานที่วัด ซึ่งสมัยที่ทำงานประจำไม่มีโอกาส เพราะต้องไปทำงานให้ทันเวลา ก็ไปทำบุญทำทานกันไปแบบสบายๆ ชิวๆ อยากไปเที่ยวตลาดอย่างที่ตอนเราไม่เคยไปเดินในเวลาทำงานประจำก็ไปเดินกัน ไป Shopping กัน ไปดูหนัง ฟังเพลงกันบ่อยๆ ก็ไป วันไหนอยากจะปลูกต้นไม้ เพาะเห็ด เลี้ยงปลา เลี้ยงนก เลี้ยงสุนัข ก็ทำกันไป วันไหนฝนตก แดดแรง เราก็ดูทีวีช่อง 3 5 7 9 11 ThaiPBS ก็ดูกันไป สลับกับเขียนหนังสือที่ชอบกันไป ทั้ง Website, Web board, Blogger, Youtube, Face book ก็เขียนกันไป เล่นกันไป ดูกันไป แบ่งปันกันไป ให้ชีวิตมีรสชาด และมีสีสรรตามสไตล์คนไม่ต้องทำงานประจำ ต้องจำทนอยู่ในกรอบ อดทนรับความกดดัน ความเสี่ยง ความเครียด ใส่หัวโขน หน้ากากหลากรูปแบบ สีสัน ปั้นหน้าปั้นตา เป็นต้นอ้อ เป็นจิ้งจก มีกฎมีระเบียบวินัย มากหมายเหมือนแต่ก่อน  มีบางครั้งที่ครบรอบงานเลี้ยงรุ่นประจำปีก็ไปร่วมสนุกกันที มีงานเลี้ยงรับรองญาติพี่น้องที่ผลัดกันมาเยี่ยมมาเยือนบ้างก็เลี้ยงกันไป ใช้ชีวิตหลังเกษียณให้คุ้มค่าไม่น่าเบื่อ ไม่จำเจ ไม่เซ็ง ไม่ซึม ไม่เศร้า ไม่เหงาอีกต่อไป"  สรุปว่า คุณสามีรับหลักการ และตกลงตั้งให้ดิฉันเป็นเลขานุการิณีส่วนตั้ว ส่วนตัว เช้าก็มีกาแฟตั้งโต๊ะ พร้อมขนม ก่อนเตรียมอาหารหลักมื้อเช้า ตอนเที่ยง ตอนเย็น และมื้อดึก(บางวัน) นี่คือหน้าที่หลักของ "แม่บ้าน" ที่สมัยทำงาน ดิฉันไม่ได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แบบนี้แน่นอน เพราะทั้งเขาและเราต่างก็ไปหารับประทานกันข้างหน้าที่ทำงาน  นี่ละค่ะวัฎจักรกิจวัตรประจำวันที่คนวัยทอง คนวัยที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยก่อนชรา และชราภาพในที่สุด พึงเลือกกระทำตามกำลังกาย กำลังทรัพย์ที่สู้อุตส่าห์ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ลำบาก ลำบน อย่างข้าราชการทหารแบบที่คุณสามีเป็นเนี่ยก็เสี่ยงชีวิต เสียงภัยมาเกือบเอาชีวิตไม่รอดมานักต่อนัก ฝึกก็หนักเพราะเป็นนักรบพิเศษ (Navy Seal) ยากลำบากแสนเข็ญเลยละค่ะ 

ดังนั้นชีวิตที่เหลือก็ต้องใช้ให้คุ้มค่าคุ้มเวลาก่อนจะละสังขารไป โดยไม่เบียดเบียนคนอื่น และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และดิฉันก็ตั้งใจว่าจะจัดเวลากลับไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ที่ต่างจังหวัดให้บ่อยขึ้น เพื่อเป็นลูกกตัญญูดูแลท่านยามท่านแก่ชรา และชดเชยที่ตอนที่เราทำงานก็มัวแต่บ้างาน เพื่อต้องการเงินเดือนจุนเจือครอบครัวและสร้างฐานะให้ดีขึ้น จนบางครั้งละเลยการไปดูแลท่านบ่อยๆ ได้อย่างที่ควรจะกระทำ จนท่านบ่นบ่อยๆ ว่า "รู้งี้แม่มีลูกหลายๆ คนก็ดี จะได้มีใครอยู่กับแม่บ้าง" ฟังท่านพูดแบบนี้แล้วก็รู้ว่าท่านน้อยใจที่ลูกๆ ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่ท่าน  พอเราได้ฟังอย่างนี้ก็สะท้อนใจเป็นธรรมดาว่าก็จริงอย่างที่ท่านบ่นมานะ 

แต่อย่างไรก็ตาม หากชีวิตไม่สิ้นก็ยังต้องดิ้นกันไป จะอาศัยเงินข้าราชการบำนาญของสามีอย่างเดียวก็คงไม่พอแน่  ดิฉันก็เลยต้องหารายได้เสริมโดยเลือกการทำตลาดแบบออนไลน์ ซึ่งมันลงตัวกับความสามารถในการสื่อสารโดยวิธีการเขียนหนังสือนี่แหล่ะใช่เลย  ดังนั้นผลงานการเขียนเว็ปไซด์ บล็อคเกอร์ ยูทูป เฟสบุ๊ค ช่องทางการสื่อสารเหล่านี้ แน่นอนย่อมส่งผลให้มีผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมเพื่อศึกษาความน่าจะเป็นเกี่ยวกับความต้องการของเขาว่าสิ่งที่เรานำเสนอผ่านสื่อนั่นๆ ไปตรงใจและความต้องของพวกเขาได้ แน่นอนการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์การเกษตร อุปกรณ์เพาะเห็ด อุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน ก็มีเข้ามาให้เราได้ดำเนินการจัดส่งไปถึงมือลูกค้าคนแล้วคนเล่า หลังจากที่เขาก็ได้โอนชำระเงินค่าสินค้ามาให้กับเราเป็นการตอบแทนกันและกัน ทุกวันๆ แน่นอนผลกำไรที่ได้รับก็ทำให้ดิฉันสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง  ซึ่งมาบวกลบคูณหารแล้วก็พอๆ กับที่ดิฉันทำงานประจำก็ยิ่งทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเจอแล้วสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา นี่แหล่ะใช่เลยสิ่งที่เราสามารถค้นหาตนเองจนเจอในที่สุดว่าเราทำได้ในการตลาดแบบออนไลน์ ซึ่งที่ดิฉันแอบภาคภูมิใจคือ มีลูกค้าทั้งใหม่และเก่า ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เริ่มติดต่อซื้อขายกันทั้งใกล้และใกล เช่น ประเทศลาว กัมพูชา พม่า มาเลเซีย และบราซิล ก็มี ทำให้ดิฉันได้ใช้ภาษาอังกฤษที่อุตส่าห์ตั้งใจเรียนมาใช้ในการสื่อสาร  วิชาการจัดการตลาดมาใช้วางแผนการทำงาน วิชาบัญชีการเงินมาใช้ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายและรายได้อย่างลงตัว ไม่กินเนื้อตัวเองจนทุนหายกำไรหด จนเหลือฝากธนาคารเก็บไว้ยามฉุกเฉินได้อีกต่างหาก วิชาการวิจัยเชิงปฎิบัติการ เพื่อวิจัยตลาดที่เรานำเสนอผลิตภัณฑ์ไปว่ากระแสตอบรับมีกลับมาไหม ก่อนที่จะลงสินค้านั้นให้เพียงพอกับความต้องการ Demand - Supply วิชาเกษตร เพื่อมาสังเกตุการปลูกพืช และเพาะเห็ด วิชาสถิติและเศรษฐศาสตร์ และทุกๆ วิชาที่ร่ำเรียนมางัดมาใช้หมด แม้แต่วิชาขับรถ วิชาแพ็คของส่งของอย่างมีประสิทธิภาพ (Logistic)  ก็ต้องให้ความสำคัญ เพราะดิฉันจะตระหนักเสมอว่า การขายของดิฉันจะสำเร็จเสร็จสิ้นก็จนกว่าสินค้านั้นจะถูกส่งถึงมือลูกค้า และได้ใช้แล้ว ตอบรับว่าดี/ไม่ดีอย่างไร จากปากลูกค้านั่นแหล่ะ เป็นอันเสร็จสิ้นจริงๆ และหากลูกค้ามีการสั่งซื้อซ้ำกลับมาอีกในปริมาณเท่าเดิม หรือสั่งมากขึ้นกว่าเดิม นั่นแหล่ะ คือ  คำตอบที่ภาคภูมิใจของดิฉันว่า "เราทำงานตลาดออนไลน์ได้แล้วจริงๆ" 




วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

กรรม กำหนด ชะตาชีวิตทั้งคนและสัตว์, ศรัทธาหัวเต่า, ศรัทธาห่อหมก, ศรัทธาฝนตั้ง, ศรัทธาตังเม, กฎแห่งกรรมมีจริงหรือ, ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว, รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา, ธูปหอมบูชาพระ ต่อศรัทธาเพิ่มบารมีญาณ, ทำบุญทำทานกันก่อนที่จะสายดีไหม



วัน เสาร์ ที่ 15 กันยายน 2555 นี้ ตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ตรงกับวันพระ ดังนั้นดิฉันและสามีจึงได้ตั้งใจไปทำบุญที่สำนักปฎิบัติธรรมเขาพลูตาหลวง เช่นเคยค่ะ  และพระอาจารย์ก็ได้เทศนาธรรมให้ได้สดับกันระหว่างที่พระท่านตักอาหารใส่บาตร หลังจากที่ญาติโยมประเคนถวายเรียบร้อยแล้ว  โดยพวกเราก็นั่งสมาธิรับฟังการเทศนากันเงียบๆ ดังมีหัวข้อธรรมะดังนี้

ศรัทธาหัวเต่า คือ ผู้ที่มีความศรัทธาไม่คงเส้นคงวา พลุบๆ โผล่ๆ เหมือนหัวเต่า เดี๋ยวทำบุญ เดี๋ยวไม่ทำบุญ ชอบพลัดวันประกันพรุ่งเสมอ  ดังนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจดอกว่า ทำไมชีวิตถึงได้อะไรมาสักอย่างช่างยากเย็นนักนะ
ศรัทธาห่อหมก คือ เปรียบเหมือนกับว่าคนที่จะทำบุญได้ทั้งทีต้องมีการกล่าวสรรเสริญเยินยอ ว่าหากทำบุญแล้วจะดีอย่างนั้นอย่างนี้ คิดทำเองไม่ได้ เหมือนดังชื่อ"ใบยอ" ที่เขานำมาใส่ในห่อหมกนั่นเอง คนประเภทนี้ชอบทำบุญเอาหน้าเอาตาก็ว่าได้ ชอบให้คนพูดชี้นำว่าดีอย่างนั้น อย่างนี้ ถึงจะตกลงปลงใจก้าวเข้าประตูวัดไปทำบุญทำทาน
ศรัทธาฝนตั้ง ฝนตก คือ ผู้ที่มีความเชื่อ ความศรัทธาเลื่อนลอยเหมือนเมฆฝน ลังเล โลเล จะทำบุญไม่ทำบุญดี เอาแน่เอานอนไม่ได้ จนทำให้คนลักษณะนี้ขาดความน่าเชื่อถือในสังคมได้ง่าย เพราะเวลาเพื่อนชวนทำบุญ ตอนแรกก็เหมือนจะตั้งใจไปทำ แต่สุดท้ายก็อ้างโน้นติดนี้จนท้ายที่สุดก็ไม่ได้ไปจริงๆ
ศรัทธาตังเม คือ ผู้ที่มีความตระหนี่ถี่เหนียวในการทำบุญ คิดมาก คิดมาย คิดเยอะ กว่าจะก้าวเข้าไปในสถานธรรม จนเหมือนกับคนห่างวัดไกลวาไปในที่สุด คนประเภทนี้จะได้อะไรมาให้กับตนเองต้องได้มาแบบยากสุดๆ

ความเชื่อในเรื่องกรรม

ตามคำสอนในพุทธศาสนา ชาวพุทธควรมีศรัทรา 4 อย่าง คือ
1.    ตถาตโพธิสัทธา : เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง เป็นผู้ประกอบด้วยพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ
  2.  กัมมสัทธา : เชื่อเรื่องกรรม คือ เชื่อว่ากรรมมีจริง
  3.  วิปากสัทธา : เชื่อเรื่องผลของกรรม คือ เชื่อว่ากรรมที่บุคคลทำไม่ว่าดีหรือชั่ว ย่อมให้ผลเสมอ
  4.  กัมมัสสกตาสัทธา : เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน คือ เชื่อว่าผลที่เราได้รับเป็นผลแห่งการกระทำ
      ของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันชาติหรืออดีตชาติ

          หลายคนคิดว่ากฎแห่งกรรมไม่มีจริง จนถึงกับประชดประชันว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ด้วยเห็นว่าคนทำกรรมชั่วได้รับผลเป็นคนร่ำรวย เป็นคนมีวาสนา มีคนเคารพยกย่อง ตรงข้ามกับคนที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ขยันขันแข็ง กลับต้องมีชีวิตที่ยากลำบาก หรือคนที่ทำงานไม่เป็น เลี่ยงงาน ประจบสอพลอ กลับได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง

          กรรมให้ผลไม่เหมือนกัน ให้ผลทันเวลาและให้ผลระยะยาวต่อไป ฉะนั้นทุกคนจึงมีโอกาสรับกรรมไม่เหมือนกัน ความดีที่ทำไว้ครั้งนั้นยังมาไม่ถึง ความชั่วหนักกว่าก็มาให้ผลก่อน ส่วนความดีนั้นเขาก็จะให้ผลในภายหลัง

          คนที่เชื่อเรื่องกรรม ย่อมสามารถอดทน ยอมรับความทุกข์ยากลำบาก ความผิดหวัง ขมขื่น และเคราะห์ที่เกิดแก่ตนได้ ไม่ตีโพยตีพายว่าโลกไม่มีความยุติธรรม ทำดีต้องได้รับผลดีแน่นอน และทำชั่วก็จะได้รับผลชั่วอย่างหนีไม่พ้น กรรมบางอย่างอาจให้ผลในชาตินี้ บางอย่างอาจให้ผลในชาติหน้า หรือชาติต่อๆไป เช่นเดียวกับการปลูกพืชบางอย่างให้ผลในไม่กี่เดือน บางอย่างก็เป็นปี

          ดังนั้นเมื่อท่านใดที่เข้าใจถึงสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้สื่อเกี่ยวกับเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ ให้พวกเราได้ทราบถึงกฎแห่งกรรมแล้ว  หากท่านใดน้อมนำไปปฎิบัติจริง แน่นอนผลของการปฎิบัติดีปฎิบัติชอบย่อมส่งผลดีๆ แก่ทุกท่านแน่นอนค่ะ