PHIKANES2515

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

คนไทยคนแรกที่ได้ท่องอวกาศกับNASA, คุณพิรดา เตชะวิจิตร หรือคุณมิ้ง ผู้พิชิตอวกาศกับนาซ๋า, โครงการแอ็กซ์อพอลโลพาชาวโลกไปท่องอวกาศกับองค์การนาซ่า, ณิคกี้เคยฝันอยากไปท่องอวกาศ, มารู้จักอาหารของนักบินอวกาศกันบ้างดีกว่า, แนวคิดการพัฒนาอาหารแคปซูลบนยานอวกาศ, ปุ๋ยแคปซูลนาโนได้แนวคิดจากอาหารนักบินอวกาศนี่เอง




นิล อาร์มสตรอง (Neil A. Armstrong)
ไมเคิล คอลลิน (Michael Collins)
เอ็ดวิน บัส อัลดริน (Edwin E. Aldrin)



   
คุณมิ้ง หรือ คุณพิรดา เตชะวิจิตร์ ตัวแทนผู้ผ่านการคัดเลือกจากโครงการ "แอ็กซ์ อพอลโล (AXE APOLLO)"ละค่ะ  ดิฉันรู้สึกภาคภูมิใจกับน้องมิ้งมากๆ เลยค่ะ ที่ได้เป็นตัวแทนชาวไทยกับโอกาสดีๆ ที่สำคัญมากๆ ซึ่งสามารถพลิกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องราวนอกโลก เกี่ยวกับอวกาศ ร่วมกับองค์การนาซ่า (NASA) ที่มีคนมากมายทั่วโลกอยากมีโอกาสได้สัมผัสอย่างน้องเขาบ้าง หนึ่งในนั้นก็ไม่พ้นผู้เขียนนี่ก็คนหนึ่งละคะ จึงขอหยิบยกเรื่องราวของคุณมิ้งมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานแก่ทุกๆ คนในครั้ง จึงขออนุญาตคุณมิ้งมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะคะ หากท่านได้มาเยี่ยมชม บล็อกเกอร์นี้นะค่ะ  อย่างไรผู้เขียนก็ขอส่งแรงใจให้น้องมิ้งและเพื่อนร่วมคณะบนภาพทั้ง 23 คนจากทั่วโลก(จากผู้สนใจขอร่วมคัดเลือกทั้งหมดกว่า 5แสนคนทั่วโลก)เดินทางไปและกลับอย่างปลอดภัยนะคะ 

ทั้งนี้ก็เพราะว่าผู้เขียนเองชอบมากเกี่ยวกับเรื่องราวนอกโลก เรื่องราวเกี่ยวกับอวกาศ ดวงดาว และมนุษย์ต่างดาว  และอะไรๆ ที่เหนือการสัมผัสได้ตามปกติ  อย่างใช้จิตสัมผัส "Six Sense"  ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พบเจออยู่เป็นประจำค่ะ







  

อาหารนักบินอวกาศยุคใหม่

จากอาหารของนักบินอวกาศ ตั้งแต่รุ่นแรกๆ จนกระทั่งได้มีการวิจัยและพัฒนาต่อยอดแนวคิดกันมาเรื่อยจนมีขนาด รูปแบบ คุณประโยชน์ต่อความจำเป็นที่นักบินอวกาศสามารถรับประทานแต่ละมื้อ แต่ละวัน เพื่อให้มีชีวิตรอดปลอดภัยกลับมาสู่พื้นโลก โดยที่ร่างกายไม่เจ็บ ไม่ป่วย จนภารกิจสำเร็จเสร็จสิ้นได้ตามเป้าหมายทันตามกำหนดเวลาอันจำกัดได้นั่นเองค่ะ  (เพราะยานอวกาศลำไม่โตพอที่มันจำกัด เขาคงไม่นำข้าวไปเป็นตันๆ เป็นเกวียนไปทานกันแน่นอนค่ะ)

และนี่คือ แนวคิดที่นักวิทยาศาสตร์ด้านพันธุ์พืชและเห็ดรา(Fungi) ได้นำแนวคิดดังกล่าวมาต่อยอดสู่การพัฒนาการให้อาหารสำหรับพืชและเห็ดกลับไปบ้าง โดยเน้นการย่อส่วนธาตุอาหารจำเป็นที่พืชต้องการนำไปใช้เสริมสร้างการเจริญเติบโต ให้มีขนาดเล็ก เป็นหน่วยวัด "นาโน (NANO)" และนี่เองค่ะ "อาหารเสริมพืช YIC.Capsule Nano" จึงกำเนิดเกิดขึ้นมาก็ด้วยแนวคิดนี่ด้วยนั่นเองค่ะ  ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการตอบสนองความต้องการให้กับเกษตรกรได้ลดต้นทุนด้านการขนส่งลง ใช้พื้นที่จัดเก็บไม่มาก ขนย้ายสะดวกเพราะมีน้ำหนักเบา ใช้ง่าย เห็นผลเร็ว ดึงดอก ออกช่อ แตกกอ แตกใบ ลงหัว ผลใหญ่ หวานกรอบ ขั้วเหนียว เปอร์เซ็นแป้ง/น้ำตาลสูง ความชื้นต่ำ ข้าวออกสุดปลายรวง เม็ดเต่ง ไม่ลีบ ไม่ลาย มีคมมีคาย แกร่งต้านทานโรคสูง น้ำหนักดี สีสวย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและตัวผู้ใช้เป็นสำคัญ  ด้วยราคาที่ไม่แพง ดินไม่เสีย เพลี้ยแมลงไม่กวน มวลวัชรพืชโตไม่ทัน เก็บเกี่ยวกันทันน้ำท่วม ใช้ได้กับพืชทุกประเภท และเห็ดทุกชนิด สนใจติดต่อสอบถาม"ปรียาภัสสร์ การัณยศิลป์(ณิคกี้)/ผู้เขียน โทร.08 9601 5286" ค่ะ Email: preeyapat.ka@live.com


ชุดคู่ขวัญอาหารพืชนาโน
YIC.NANO PLUS + YIC.CAPSULE NANO
ปกติ 7,000บ. สมาชิกเพียง 5,000บ.
ใช้ผสมน้ำฉีดพ่นได้พื้นที่มากกว่า 120 ไร่ (พืชผัก)
  "อาหารเสริมพืชวายไอซีแคปซูลนาโน มีอักษรสีขาว YIC.NANO บนแคปซูลสีเขียวเข้มเท่านั้น" จึงจะเป็นของแท้ ที่ผ่านการรับรองจาก สคบ. ค่ะ ท่านสามารถรับชมข้อมูลก่อนตัดสินใจสั่งซื้อได้ที่ www.yiccthailand.com และ www.phikanes.com ค่ะ







วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

ใครเสี่ยงเป็นโรคไตบ้าง, ไต มีหน้าที่สำคัญอย่างไร, ทำไมเราต้องดูแลไตเป็นพิเศษ, ทานอะไรดีกับอวัยวะสำคัญที่เรียกว่า ไต, อาหารเสริมดีต่อสุขภาพร่างกาย, เบต้า อะมิโนพลัส และเอ็กซ์-แฟคเตอร์ ดีกับผู้ป่วยโรคไต




 

วันนี้ผู้เขียนได้รับฟังผลการไปตรวจวัดอาการเบาหวานของคุณแม่ปราณี ที่เพิ่งไปตามนัดของทางโรงพยาบาลมา แล้วผลออกมาก็มีทั้งดี ไม่ดี ไปตามอาการของท่าน  แต่เราผู้เป็นลูกก็อดเป็นห่วงท่านไม่ได้ และก็หมั่นโทรไปถามไถ่อาการบ้าง แนะนำวิธีการเลือกทานอาหารที่เหมาะสมบ้าง วิธีบำบัดอาการของโรคบ้าง การออกกำลังในท่าที่เหมาะสมบ้าง และก็พาไปหาหมอเองบ้าง ทั้งที่ตัวอำเภอ และที่จังหวัด เพื่อหวังว่าอาการของท่านจะบรรเทาเบาบางขึ้นนั่นเองค่ะ แต่มีอยู่โรคหนึ่งที่ผู้เขียนกังวลกลัวท่านจะเป็นมากเลย นั่นก็คือ "โรคไต" ค่ะ งั้นวันนี้ ดิฉันขอแบ่งปันข้อมูลที่ค้นหามาแบ่งปันต่อแด่ท่านผู้อ่านกันเลยนะคะ
ชุดคู่ขวัญต้านมะเร็ง โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคพากิลสัน โรคความจำเสื่อม โรคหัวใจ โรคภูมิแพ้ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคอ้วน วัยทอง มีบุตรยาก 

เบต้า อะมิโนพลัส บรรจุกระปุกละ 30 แคปซูล
ราคาปกติ 3,500บ. ราคาสมาชิกเพียง 2,500บ.
ชุดประหยัด 2 กระปุก เพียง 3,600บ.
YIC.X-Factor Nano Spray
สเปรย์นาโนใต้ลิ้น ใช้ง่ายเพียงฉีดพ่น
บรรจุ 20 มิลลิลิตร
ราคาปกติ 1,800บ.
สมาชิก เพียง 1,400บ.
มีใครกันบ้างคะที่ชื่นชอบกินอาหารรสเค็ม?!... รู้สึกไหมว่าเวลาที่เรากินเค็มมาก ๆ แล้ว ร่างกายเราจะรู้สึกกระหายน้ำมากเป็นพิเศษ แต่พอดื่มน้ำเข้าไปมากเท่าไร ก็ยิ่งปวดปัสสาวะถี่ขึ้น ถ้าใครเป็นแบบนี้บ่อย ๆ นั่นหมายความว่าอวัยวะที่ช่วยกรองของเสียและปัสสาวะอย่าง "ไต" จะทำงานหนักซะแล้ว แล้วถ้า "ไต" ป่วยขึ้นมาล่ะก็ เหนื่อยเลยนะคะ เพราะอย่างที่รู้กันว่าโรคไตเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องดูแลรักษายาวนานตลอดชีวิต ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แถมค่าใช้จ่ายยังสูงมากเสียด้วย
          ...เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าปล่อยให้ชีวิตยุ่งยากด้วยโรคไตดีกว่าค่ะ หันมาดูแลไตกันให้มากขึ้น และหมั่นเช็กอาการต่อไปนี้ เพื่อตรวจสอบว่าตัวเองเข้าข่ายเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตหรือไม่ ถ้าเข้าเค้าล่ะก็ รีบเปลี่ยนพฤติกรรมด่วน!
เรามาทำความรู้จัก ไต กันก่อนนะคะ
          "ไต" (Kidney) เป็นอวัยวะที่อยู่ส่วนล่างของช่องท้อง มีสองข้าง คือซ้ายและขวา รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วแดง ยางประมาณ 10-13 เซนติเมตร กว้าง 6 เซนติเมตร หนา 3 เซนติเมตร มีน้ำหนักรวมกันประมาณ 300 กรัม มีต่อมหมวกไต (Adrenal gland) อยู่ด้านบนของไตทั้งสองข้าง มีชั้นไขมันสองชั้นห่อหุ้มอยู่ ภายในไตนั้นจะมี 2 ชั้น คือ ชั้นนอก เรียกว่า คอร์เทกซ์ (cortex) ส่วนนี้มีสีแดง เพราะมีโกบเมรูลัสอยู่ ขณะที่ชั้นใน จะเรียกว่า เมดูลลา (medulla) ส่วนนี้มีสีขาว ส่วนใหญ่ประกอบด้วยท่อหน่วยไต ส่วนของเมดูลลาที่ยื่นเข้าไปจรดกับโพรงที่ติดกับหลอดไตเรียกว่า พาพิลลา (papilla) และเรียกโพรงนี้ว่า กรวยไต (pelvis)
          หากถามว่า "ไต" เป็นอวัยวะของระบบใดในร่างกายมนุษย์ ก็ต้องตอบว่าเป็นส่วนหนึ่งของ "ระบบทางเดินปัสสาวะ" เพราะมีหน้าที่กรองเอาของเสีย น้ำ และเกลือแร่ส่วนเกินจากเลือดที่ไหลผ่านไปไปสร้างปัสสาวะ เมื่อผลิตเสร็จแล้วก็จะส่งผ่านไปทางท่อไต นำไปเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ เมื่อมีปริมาณปัสสาวะมากพอ เราจึงรู้สึกปวดปัสสาวะ อยากจะถ่ายปัสสาวะขับของเสียออกนั่นเอง
          อย่างที่ทราบแล้วว่า หน้าที่หลัก ๆ ของไตก็คือ กรองของเสียออกจากเลือด และขับออกพร้อมกับน้ำในรูปของปัสสาวะ แต่นอกจากหน้าที่ในระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว ไต ยังมีหน้าที่ช่วยรักษาความปกติของน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย สร้างสารที่ควบคุมความดันโลหิต และสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้น จะสังเกตได้ว่า หากไตทำงานน้อยลงมักเกิดปัญหาความดันโลหิตสูงและโลหิตจางร่วมด้วย

มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตมีอะไรบ้าง?
          มีหลายเหตุและปัจจัยที่อาจทำให้ไตของเราป่วยได้ ซึ่งมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย ได้รวบรวมปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต ไว้ดังนี้
          "กรรมพันธุ์" โรคไตบางชนิดเกิดขึ้นจากกรรมพันธุ์ เช่น โรคไตเป็นถุงน้ำ (Polycystic Kidney Disease) ที่มีทั้งแบบที่เกิดกับทารก ซึ่งมักจะทำให้เด็กเสียชีวิตตั้งแต่เกิด และแบบที่เกิดกับผู้ใหญ่ ที่จะพบความผิดปกติเมื่ออายุ 20-30 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม กรรมพันธุ์ไม่ใช่สาเหตุหลัก และผู้ป่วยโรคไตจากกรรมพันธุ์ก็มีน้อยมาก แต่ถ้ามีใครคนหนึ่งในครอบครัวเป็นโรคไตขึ้นมา โอกาสที่เครือญาติพี่น้องจะเป็นด้วยก็มีสูงถึง 90% จึงควรไปตรวจสุขภาพกันยกครอบครัว
          "โรคความดันโลหิตสูง" ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงจะส่งผลกระทบต่อไตด้วย หากเป็นนาน ๆ ไตก็เสื่อมลง จนถึงขั้นไตวายเรื้อรัง ซึ่งเชื่อไหมว่าผู้ที่เป็นไตวายเรื้อรัง ราว 30-50% ล้วนเกิดจากมีความดันโลหิตสูงทั้งสิ้น และในทางตรงข้าม คนที่เป็นโรคไตบางชนิดก็อาจเป็นโรคความดันโลหิตสูงตามมาเช่นกัน
          "โรคเบาหวาน" ถือเป็นสาเหตุของโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายราว ๆ 30% เพราะผู้ที่เป็นเบาหวานมานานแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่หลอดเลือดของไต ทำให้ไข่ขาวออกมาในปัสสาวะ นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานยังติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ง่ายกว่าปกติ ทำให้เกิดกรวยไตอักเสบได้ หากเป็นบ่อย ๆ นาน ๆ เข้า ก็ทำให้ไตอักเสบ ไตวาย แล้วยังมีผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูงตามมาด้วย
           "ความอ้วน" เพราะคนอ้วนจะมีเมตาบอลิซึมสูงกว่าคนปกติ ทำให้เกิดของเสียต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น ไต ที่เป็นอวัยวะกรองของเสียก็จะทำงานหนักขึ้นตามไปด้วย
           "อายุ" เมื่อคนเราแก่ตัวขึ้น สังขารร่างกายก็ร่วงโรยไปตามวัย เช่นเดียวกับ ไต ที่จะเริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุ 35 ปี เท่ากับว่ายิ่งอายุมากขึ้น ไตก็จะยิ่งเสื่อมตามอายุลงไปด้วย โดยเฉพาะผู้สูงอายุเพศชายที่มีโอกาสต่อมลูกหมากโตสูงขึ้น ทำให้ทางเดินปัสสาวะอุดตัน ส่งผลกระทบต่อไตได้
           "อาหาร" อาหารหลายชนิดที่หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ จะยิ่งเป็นอันตรายต่อไต โดยเฉพาะอาหารรสเค็มจัดที่จะไปทำให้ความดันโลหิตสูง แล้วส่งผลกระทบต่อไปที่ไต รวมทั้งอาหารกลุ่มโปรตีนที่มีงานวิจัยพบว่า เนื้อสัตว์ถือเป็นของเสียในร่างกาย หากทานเข้าไปมาก ๆ จะมีของเสียเหลือตกค้างในร่างกายมาก ทำให้ไตที่มีหน้าที่กรองของเสียทำงานหนักมากขึ้น แต่ถ้าเป็นโปรตีนจากเนื้อปลา หรือไข่ขาว นั้นสามารถทานได้ เพราะเป็นโปรตีนคุณภาพสูงและย่อยง่าย
           "ยา" ยาบางชนิดที่ไม่ส่งผลดีต่อไตนัก เช่น ยาแก้ข้อกระดูกอักเสบ (พวก NSAID) ที่ทำให้เกิดไตวายได้ รวมทั้งสารทึบรังสีบางชนิดที่ใช้ฉีดผู้ป่วยเวลาตรวจทางเอกซเรย์ก็มีผลให้ไตวายได้เช่นกัน ดังนั้น หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง
           "อาชีพและอุบัติเหตุ" คนบางอาชีพมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไตได้มากกว่าคนทั่วไป เช่น นักมวย ที่อาจถูกเตะต่อยบริเวณไต รวมทั้งคนที่ทำงานในโรงงาน ก็อาจได้รับสารพิษสะสมในไตมานาน 
ปวดหลัง

มีใครเสี่ยงเป็นโรคไตได้มากกว่าคนอื่น?
           1. ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
           2. ผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคไต
           3. ผู้ที่มีน้ำหนักแรกคลอดต่ำ น้อยกว่า 2,500 กรัม
           4. ผู้ป่วยโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ
           5. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
           6. ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
           7. ผู้ป่วยโรคเนื้องอกในไต
           8. ผู้ที่ได้รับสารพิษจากยาบางชนิด หรือสารแปลกปลอมอยู่เป็นประจำ หรือมากเกิน
           9. ผู้ป่วยโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
           10. ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เซลล์ตัวเอง
          ในปัจจัยเสี่ยงทั้ง 10 ข้อ โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง เป็น 2 โรคสำคัญนำไปสู่การเกิดโรคไตเรื้อรังได้บ่อยที่สุด

"โรคไต"

มาเช็คสัญญาณบอกอาการโรคไตกัน

          ได้รู้ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคไตกันไปแล้ว คุณสุ่มเสี่ยงข้อไหนบ้างเอ่ย? หรือหากใครไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลยก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะไม่ได้หมายความว่าคุณรอดพ้นจากโรคนี้แล้วนะคะ เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารรสเค็มจัดที่ทำให้คุณมีสิทธิ์เผชิญหน้ากับโรคนี้ ว่าแล้วก็มาตรวจสอบสัญญาณบ่งชี้โรคไตกันหน่อยดีกว่า ว่าความผิดปกติของตัวเองเข้าข่ายเป็นโรคไตหรือไม่
 มีอาการบวมทั้งตัว
          ผู้ป่วยโรคไตส่วนมากจะมีอาการบวมตามตัว เกิดจากการมีน้ำและเกลือเพิ่มขึ้นในร่างกาย ระยะแรกอาจมีเพียงการบวมที่หนังตา และหน้า ต่อมาจะมีการบวมที่ขาและเท้าทั้งสองข้าง โดยอาจรู้สึกว่าแหวนหรือรองเท้าคับขึ้น ถ้าบวมไม่มากอาจสังเกตไม่เห็น แต่ทดสอบได้ด้วยการลองใช้นิ้วกดที่หน้าแข้งสักพักแล้วปล่อย หากพบว่ามีรอยบุ๋มอยู่แสดงว่าบวมแน่น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อวินิจฉัยโรค เพราะอาการบวมอาจไม่ได้เป็นโรคไตก็ได้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ และโรคตับ ดังนั้น การตรวจปัสสาวะน่าจะได้ผลที่ชัดเจนที่สุด
 เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซีด
          ผู้ที่เป็นโรคไต ถ้าเป็นน้อย ๆ มักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หากเป็นมาก ๆ ใกล้เป็นไตวายเรื้อรังจะเพิ่มอาการซีด คันตามตัว เบื่ออาหาร
 ปวดหลัง ปวดบั้นเอว
          ไต เป็นอวัยวะที่อยู่บริเวณช่วงหลังด้านล่างของเรา ดังนั้น หากไตเกิดความผิดปกติขึ้น เราอาจรู้สึกปวดหลัง บั้นเอวที่บริเวณชายโครง ร้าวไปถึงท้องน้อย หัวหน่าว และที่อวัยวะเพศได้ บางคนก็ถึงขั้นปวดกระดูกและข้อ ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการอุดตันที่ท่อไต กรวยไตอักเสบ หรือในท่อไตมีถุงน้ำโป่งพองก็ได้ แต่อาการปวดหลังก็สามารถวินิจฉัยได้หลายโรคเช่นกัน จึงต้องตรวจสอบอาการอื่นควบคู่ ๆ ไปด้วย
          ทั้งนี้ หากเรากดหลัง และทุบเบา ๆ แล้วมีอาการเจ็บ อาจแสดงว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง หรือไตอักเสบ ถ้ามีไข้สูงร่วมด้วยอาจเป็นสัญญาณของกรวยไตอักเสบติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน ซึ่งก็มีหลายโรคที่ทำให้เกิดภาวะไตเสื่อมร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรค SLE เป็นต้น
ปัสสาวะ
 ปัสสาวะผิดปกติ
          เนื่องจาก ไต อยู่ในระบบทางเดินปัสสาวะ ดังนั้น หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับปัสสาวะ นั่นก็อาจหมายถึงไตทำงานผิดปกติได้ โดยเราสามารถสังเกตปัสสาวะได้ดังนี้
          ปัสสาวะเป็นเลือด อาจมีหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการนี้ ทั้งนิ่ว เนื้องอกของทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อุบัติเหตุกับทางเดินปัสสาวะ หรือ เส้นเลือดฝอยของไตอักเสบ แม้แต่มะเร็งของระบบทางเดินปัสสาวะ หรือโรคไตเป็นถุงน้ำ ฯลฯ
          ปัสสาวะน้อยลง โดยปกติแล้วหากเราดื่มน้ำมาก ปัสสาวะก็ควรจะมากไปด้วย แต่หากใครปัสสาวะไม่ออกเลย อาจเป็นเพราะทางเดินปัสสาวะถูกอุดกั้น หรือการทำงานของไตเสียไป ลองทดสอบง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำให้มากขึ้น แล้วสังเกตดูว่าปัสสาวะออกมากขึ้นหรือไม่ หากปัสสาวะยังน้อยอยู่ นั่นแสดงว่าไตเริ่มผิดปกติแล้ว
           ปัสสาวะบ่อย ความถี่ในการปัสสาวะของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการดื่มน้ำ หรือการที่ร่างกายเสียน้ำไปทางอื่น ๆ เช่น เหงื่อ หรืออุจจาระ แต่หากวันดีคืนดี รู้สึกว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยผิดปกติ หรือตื่นขึ้นมาปัสสาวะในตอนกลางคืนมากกว่า 3-4 ครั้ง อาจต้องสงสัยว่าป่วยเป็นโรคไตก็ได้ เพราะกระเพาะปัสสาวะจะสามารถเก็บน้ำได้ถึง 250 ซี.ซี. แต่ในคนที่เป็นโรคไต ไตจะไม่สามารถหยุดการขับน้ำในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีน้ำออกมามากและปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ จึงมักจะตื่นขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางดึก
          แต่อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วการปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืนส่วนใหญ่ไม่เกิดมีสาเหตุมาจากโรคไต เพราะมักจะเป็นอาการของโรคเบาหวาน เบาจืด กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือการกินน้ำมากเกินไปมากกว่า แต่ก็ยังอาจเป็นอาการของโรคไตวายในระยะแรก ดังนั้น ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะหากมากกว่าวันละ 3 ลิตร หรือตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษา
          ส่วนการปัสสาวะตอนกลางวัน หลายคนรู้สึกว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยเกินไป ซึ่งจริง ๆ อาจไม่ได้ป่วยโรคไต แต่เกิดจากความวิตกกังวลของตัวเองที่ไปกระตุ้นให้อยากปัสสาวะอยู่เรื่อย ๆ มากกว่า
          ปัสสาวะเป็นฟองมาก ฟองสีขาว ๆ ที่เราในปัสสาวะก็คือโปรตีนนั่นเอง ซึ่งก็มีกันทุกคน แต่หากใครมีฟองสีขาว ๆ มากผิดปกติ อาจสงสัยไว้ก่อนว่า เส้นเลือดฝอยในไตอาจอักเสบ ทำให้มีโปรตีนรั่วไหลออกมามากผิดปกติ แต่ถึงกระนั้นก็อย่าเพิ่งฟันธงว่าเป็นโรคไต ต้องดูอาการอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น หากปัสสาวะมีฟองมากแถมยังเป็นเลือด ก็สันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นโรคไตก็ได้ ให้รีบไปพบแพทย์ตรวจร่างกายโดยเร็ว
 ความดันโลหิตสูงมาก ๆ
          เคยได้ยินใช่ไหมว่าการกินอาหารรสเค็ม ๆ มาก ๆ จะทำให้ไตทำงานหนัก และเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่ไม่เคยมีอาการอะไรมาก่อน แต่พอไปตรวจสุขภาพกลับเจอความดันโลหิตสูงมาก ๆ อาจอนุมานได้ว่า ไตของเรามีความผิดปกติขึ้นแล้ว ควรให้แพทย์ตรวจอย่างละเอียดเพื่อเช็กว่าเป็นโรคไตด้วยหรือไม่
ตรวจปัสสาวะ
 จะรู้ชัด ๆ ได้อย่างไรว่าเป็นโรคไตหรือเปล่า?
          หลังจากตรวจสอบสัญญาณเบื้องต้นกันไปแล้ว ใครที่มีอาการคล้าย ๆ กับอาการที่บอกไปข้างต้นก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจคิดว่าตัวเองป่วยโรคไตแน่ ๆ เพราะเราต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพร่างกายเสียก่อน โดยแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการต่อไปนี้
 ตรวจปัสสาวะ
          เมื่อมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคของทางเดินปัสสาวะ แพทย์จําเป็นต้องตรวจปัสสาวะของผู้ป่วย เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เพราะการตรวจปัสสาวะเป็นการตรวจขั้นต้นที่สำคัญในการวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ของทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคนิ่ว โรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ กรวยไตอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และโรคไตอื่น ๆ

ตรวจเลือด
          การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคไตและโรคทางเดินปัสสาวะมักจะทําเพื่อวินิจฉัยโรคไตวาย หรือความผิดปกติของไตอื่น ๆ เช่น เมื่อมีอาการบวม ซึ่งการตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไตนั้น ไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือน้ำก่อนเจาะเลือด ยกเว้นหากสงสัยว่าจะเป็นเบาหวาน หรือตรวจไขมันในเลือด ถึงจะงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
 
"โรคไต"
โรคไต รักษาได้ไหม?
          ความน่ากลัวของโรคไตที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ มักจะเป็นโรคเรื้อรัง รักษาไม่หายขาด (ยกเว้นโรคไตบางชนิด เช่น เป็นนิ่ว) อย่างไรก็ตาม ถ้าหากโรคไตที่เป็นนั้นอยู่ในระยะรุนแรงแล้ว แพทย์ก็สามารถรักษาให้ได้ แต่ผู้ป่วยก็จำเป็นต้องทานยาไปตลอดชีวิต และมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในการรักษาโรคไตนั้น หลัก ๆ ก็คือ
 1. รักษาที่สาเหตุของโรคไต
          เช่น หากเป็นนิ่วในไตก็ต้องกำจัดนิ่วในหมดไป หรือถ้าเป็นโรคไตที่เกิดจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แพทย์ก็จะช่วยรักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่เป็นต้นเหตุให้ด้วยการให้ยา ซึ่งหากรักษาโรคเหล่านี้หาย ก็สามารถหายป่วยจากโรคไตได้เช่นกัน แต่ต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีด้วยการดูแลอาหารการกิน เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
 2. รักษาเพื่อชะลอความเสื่อมของไต
          ผู้ป่วยหลายคนกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคไต ไตก็เสื่อมลงไปมากแล้ว ดังนั้น แพทย์จะต้องช่วยชะลอการเสื่อมของไต เพื่อไม่ให้ไตส่วนที่เหลืออยู่ทำงานหนักเกินไปจนเสื่อมเร็วขึ้น โดยการชะลอการเสื่อมของไตนั้นสามารถทำได้เช่น การให้ยา การควบคุมความดันโลหิต การควบคุมอาหาร ฯลฯ
 3. การล้างไตทางหน้าท้อง
          ในผู้ป่วยที่เป็นไตวายมากขึ้นจนเข้าระยะสุดท้าย ไตจะไม่สามารถฟื้นตัวมาทำงานได้อีกแล้ว เท่ากับว่าเลือดของเราจะเต็มไปด้วยของเสีย เมื่อเป็นแบบนี้ แพทย์จำเป็นต้องให้ล้างไต ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาไตออกมาล้าง แต่คือการทำความสะอาดเลือดให้ไม่มีของเสีย ด้วยการใส่ท่อพลาสติกเข้าไปที่ท้อง แล้วใส่น้ำตามเข้าไป เพื่อให้ของเสียในเลือดซึมออกมาในน้ำ จากนั้นจึงนำน้ำเสียนั่นทิ้งไป นี่คือการล้างไตนั่นเอง
          ได้ฟังเช่นนี้หลายคนอาจเข้าใจว่าการล้างไตยุ่งยากน่าดู แต่จริง ๆ แล้ว การล้างไตนั้นไม่ได้ยุ่งยากหรือทำให้เจ็บปวดมากมาย โดยแพทย์จะผ่าตัดแผลเล็ก ๆ ทางช่องท้อง ซึ่งไม่จำเป็นต้องดมยาสลบ แค่ใช้ยาชาเท่านั้น จากนั้นก็จะนำท่อพลาสติกสอดเข้าไปในท้อง อย่างไรก็ตาม การล้างไตจะต้องทำทุกวันไปตลอดชีวิต นี่จึงเป็นความยุ่งยากอีกประการหนึ่งที่คนไข้บางคนไม่สามารถมาพบแพทย์ได้ทุกวัน ดังนั้น จึงมีวิธีการสมัยใหม่ที่ช่วยให้คนไข้สามารถฟอกไตด้วยตัวเองได้
          วิธีการที่ว่านี้ คนไข้จะนำถุงน้ำยาต่อเข้ากับถุงพลาสติกที่พับได้ แล้วปล่อยน้ำเข้าไปในท้องจนหมด จากนั้นถุงพลาสติกก็จะแฟบลง สามารถพับเก็บไว้กับตัวได้ คนไข้จะต้องปล่อยน้ำยาทิ้งไว้ในช่องท้องประมาณ 6 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาก็ต้องปล่อยน้ำยาออกมา โดยนำถุงน้ำยาวางไว้ต่ำกว่าช่องท้อง เพื่อให้น้ำยาไหลออก พอไหลออกจนหมดแล้วก็ปลดถุงนั้นทิ้งไป เอาถุงใหม่มาต่อและก็ใส่น้ำยาเข้าไป ต้องทำอย่างนี้วันละ 4 ครั้ง เพื่อล้างไตให้สะอาด แต่ก่อนจะทำด้วยตัวเองได้นั้น แพทย์พยาบาลจะต้องฝึกฝนคนไข้ให้คล่องเสียก่อน และที่สำคัญคือต้องใช้ความระมัดระวังและรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนอันเป็นอันตรายถึงชีวิต
          ทั้งนี้ การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทำทุกวันวันละ 4 ครั้ง สัปดาห์ละ 7 วันตลอดไปถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ทั่วไปตามปกติ ที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะไตจะขับของเสียอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
ฟอกเลือดด้วยไตเทียม
 4. การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
          เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยขจัดของเสียออกจากเลือด เนื่องจากไตของผู้ป่วยเสื่อมสภาพมากจนไม่สามารถใช้งานได้แล้ว โดยวิธีนี้จะต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น ต่างจากการล้างไตด้วยน้ำยาที่คนไข้สามารถทำได้เองที่บ้าน แต่ความถี่ของการล้างจะแตกต่างกัน โดยการล้างไตด้วยน้ำยานั้นจะต้องทำทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งอาจทำให้คนไข้ใช้ชีวิตประจำวันไม่ค่อยสะดวกนัก
          ส่วนการฟอกเลือดด้วยไตเทียมนี้ จะทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่ต้องมาพบแพทย์ทุกครั้ง โดยแต่ละครั้งใช้เวลาฟอก 2-5 ชั่วโมง ด้วยการใช้เข็มเจาะเข้าที่หลอดเลือด เพื่อให้เลือดออกจากร่างกาย ผ่านเข้ามายังไตเทียมที่จะช่วยกรองของเสียให้ เมื่อกรองเสร็จแล้ว เลือดจะไหลกลับเข้าสู่ร่างกายทางหลอดเลือดอีกหลอดหนึ่ง
 5. การผ่าตัดเปลี่ยนไต หรือปลูกถ่ายไต
          แพทย์จะใช้วิธีนี้กับผู้ป่วยที่เป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายแล้ว ทำให้ไตไม่สามารถใช้งานได้ จึงต้องปลูกถ่ายไตใหม่ ซึ่งวิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และภายหลังการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันไปตลอดเพื่อป้องกันการต่อต้านไตใหม่ของร่างกาย
สำหรับการปลูกถ่ายไต จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
          1. ชนิดที่ผู้บริจาคไตเสียชีวิต ซึ่งจะทั้งผู้บริจาคและผู้รับต้องมีหมู่เลือดเดียวกัน
          2. ชนิดที่ผู้บริจาคไตยังมีชีวิตอยู่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
              ผู้บริจาคมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ซึ่งจะต้องมีความเหมือนกันของเนื้อเยื่อระหว่างผู้บริจาค และผู้รับไตอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
              ผู้บริจาคมีความสัมพันธ์เป็นสามี-ภรรยา ซึ่งต้องมีหลักฐานการจดทะเบียนสมรสเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี นับจากวันที่เริ่มทำการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หรือการล้างไตทางหน้าท้อง ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายต้องมีหลักฐานว่ามีลูกที่เกิดจากคู่สามี-ภรรยาจริง อายุของลูกต้องไม่น้อยกว่า 2 ปี และต้องพิสูจน์ความเป็นสายเลือดลูกนอกสมรส
          อย่างไรก็ตาม ผู้บริจาคไตชนิดยังมีชีวิตอยู่ทั้งสองประเภทดังกล่าว จะได้รับการตรวจร่างกายและจิตใจอย่างละเอียดว่าปกติโดยสมบูรณ์ เหมาะสมกับการปลูกถ่ายไตหรือไม่ แต่ถ้าผู้บริจาคเสียชีวิตแล้ว ก็ต้องเป็นผู้ที่เสียชีวิตจากสภาวะสมองตายที่ไม่สามารถกลับมาดำรงชีวิตได้อีก แต่สภาพร่างกาย การทำงานของระบบต่าง ๆ รวมทั้งระบบไตอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้เคียงปกติ และญาติของผู้บริจาคต้องยินยอมด้วยความสมัครใจ

"เกลือ"
 ป้องกันโรคไต ต้องดูแลไตอย่างไรดี?
          โรคไตที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเป็นให้ยุ่งยากในการดูแลรักษาไปตลอดชีวิต เห็นทีต้องมาดูแลไตของเรากันให้มากขึ้นแล้วล่ะ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองแบบนี้ไง
           ลดการทานอาหารเค็ม ๆ ลง เพื่อควบคุมความดันโลหิต เน้นกินผักผลไม้ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
           ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
           รักษาและควบคุมน้ำหนักของตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หากตัวเองอ้วนเกินมาตรฐานให้พยายามลดน้ำหนัก
           ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากความดันโลหิตสูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่คงที่ จะส่งผลให้ไตเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ
           ผู้ป่วยเบาหวานต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้อยู่ในระดับปกติ เพื่อป้องกันการทำลายไต รวมทั้งการทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หัวใจ และตา
           พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามากเกินไป ควรนอนให้หลับสนิทอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม
           หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะมีผลวิจัยชี้ว่า ไตของผู้สูบบุหรี่จะเสื่อมเร็วกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่
           หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อไต เช่น ยาแก้ปวดข้อ ปวดหลัง ทั้งชนิดรับประทานและแบบฉีด หากใช้ในขนาดสูง หรือนานเกินไป ก็มีพิษต่อไตได้ รวมทั้งต้องระวังการกินยาแก้ปวดติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ด้วย
           อย่าปล่อยให้เป็นโลหิตจาง เพราะมีการศึกษาพบว่า ถ้ารักษาภาวะซีดหรือโลหิตจางให้ดี จะทำให้ไตเสื่อมช้าลงได้
           ป้องกันภาวะติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่ต้องรีบรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้ไตเสื่อม
           ปฏิบัติสมาธิอย่างสม่ำเสมอ วันละ 10-15 นาที หรือสวดมนต์ให้จิตใจสงบก็ได้ เพื่อผ่อนคลายความเครียด และส่งผลดีต่อระบบประสาท ความดันโลหิต 
 เป็นโรคไตต้องห้ามดื่มน้ำมาก และจำกัดอาหารเค็มใช่หรือไม่?
          หลายคนสงสัยกันมากในเรื่องนี้ เพราะมักจะได้รับการบอกต่อกันมาว่า หากเป็นโรคไตไม่ควรทานอาหารเค็ม และดื่มน้ำมากเกินไป เพราะจะทำให้ไตทำงานหนัก แต่จริง ๆ แล้ว การจำกัดน้ำดื่มและจํากัดอาหารเค็มนั้นจะจํากัดเฉพาะผู้ป่วยโรคไตที่มีปริมาณปัสสาวะน้อย อยู่ในระยะที่มีอาการบวม มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือมีความดันโลหิตสูงเท่านั้นที่ควรจำกัดปริมาณน้ำดื่มในแต่ละวันให้เท่ากับ "ปริมาณปัสสาวะของเมื่อวาน+500 มิลลิลิตร" แต่ถ้าไม่อยู่ในภาวะเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดน้ำดื่ม ส่วนอาหารเค็ม ถ้าลดได้ก็ถือเป็นเรื่องดีค่ะ
อาหารสำหรับโรคไต
 ป่วยโรคไต ทานอาหารแบบไหนดี?
          เมื่อเป็นโรคไตแล้ว เวลาจะหยิบอะไรทานก็คงต้องคิดแล้วคิดอีกว่าอาหารเหล่านั้นจะยิ่งไปทำให้ไตทำงานหนักขึ้นหรือไม่ หรืออาหารอะไรที่ควรทานให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้ไตแข็งแรงขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาการป่วยที่เป็นนั่นเอง
           หากป่วยเป็นโรคไตที่มีการรั่วของไข่ขาวออกมาทางปัสสาวะมาก ๆ แสดงว่ามีระดับไข่ขาวในเลือดต่ำ ต้องรับประทานอาหารประเภทโปรตีนให้เพียงพอ เพื่อชดเชยไข่ขาวที่สูญเสียไปทางปัสสาวะ
           หากเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะหลัง มีสารพิษคั่งในร่างกายมาก ๆ แบบนี้ไม่ควรทานโปรตีนมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้มีของเสียคั่งค้างมากขึ้น ควรเลือกทานเนื้อปลาที่ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่ถ้าใครยังอยากทานเนื้อหมู เนื้อไก่ ก็ยังทานได้ แต่ต้องลดปริมาณลง 
           หากเป็นโรคไตวายเรื้อรังที่มีปัสสาวะน้อย ควรจำกัดอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน ผลไม้ เลือกทานแป้ง น้ำตาล ได้ ยกเว้นผู้ป่วยโรคไตที่เป็นโรคเบาหวานด้วย
           หากเป็นโรคไตวายพิการระยะแรก ๆ ที่ยังไม่มีความดันโลหิตสูง และยังไม่มีอาการบวม ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังไม่จำเป็นต้องลดการดื่มน้ำ หรือจำกัดเกลือโซเดียม เพราะยังเป็นระยะที่มีปริมาณปัสสาวะเท่าเทียมกับคนปกติ
           หากเป็นโรคไตวายพิการระยะหลัง ๆ เท่ากับว่าไตเสื่อมมากขึ้นแล้วจนไม่สามารถขับน้ำและเกลือโซเดียมได้เท่าคนปกติ คนกลุ่มนี้จะต้องจำกัดการดื่มน้ำและเกลือโซเดียม เพราะผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะน้อย มีภาวะบวม ความดันโลหิตสูง

เครื่องปรุงอาหารอะไรที่มีโซเดียมมากเกินไป ต้องหลีกเลี่ยง
          พูดเรื่องอาหารเค็ม ๆ มาหลายบรรทัดแล้ว เชื่อว่าหลายคนยังอยากรู้ว่า นอกจาก "เกลือ" แล้ว ยังมีอาหารอะไรบ้างที่มีโซเดียมมากจนเป็นอันตรายต่อไตของคุณ มาลองดูกัน
           อาหารที่มีรสเค็มทั้งหลาย เช่น เกลือป่น น้ำปลา ซอสหอยนางรม ซีอิ๊ว พริกน้ำปลา ซอสปรุงรส ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ ซอสเปรี้ยว ๆ ทั้งหลาย
           อาหารดองเค็ม เช่น กุ้งแห้ง กะปิ ผลไม้ดอง ผักดอง ปลาเค็ม เนื้อแดดเดียว
           อาหารดองเปรี้ยว เช่น หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง ไส้กรอกอีสาน แหนม กระเทียมดอง
           อาหารที่มีรสหวานและเค็มจัด เช่น ปลาหวาน กุ้งหวาน หมูหย็อง หมูแผ่น กุนเชียง ผลไม้แช่อิ่ม
           อาหารที่ใส่ผงฟู เช่น เค้ก ซาลาเปา ขนมปังโฮลวีท เบเกอรี่ต่าง ๆ

อ้างอิงkapook  ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆ ที่ได้นำมาแบ่งปันต่อมา ณ โอกาสนี้ค่ะ

เพียง 3 ขวด 4,500บ. (ปกติ 6,000บ.)

ทานเบต้าอะมิโนพลัสต้านโรคมะเร็งปาก, มะเร็งช่องปาก, ทานอะไรต้านมะเร็งดีนะ, ใครเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งบ้าง, ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ, Beta Amino Plus เสริมภูมิต้านทานโรคร้ายได้ดี





เบต้า อะมิโนพลัส (Beta Amino Plus)
@ 3,500บ. ราคาสมาชิก 2,500บ./กระปุก
ชุดประหยัด 3,600บ.
     ผลที่ร่างกายจะได้รับ หรือใครบ้างที่ควรรับประทานเบต้า อะมิโนพลัส
1) ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
2) ผู้ที่เป็นมะเร็งทุกชนิด
3) ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
4) ผู้ป่วยที่ได้รับการฉายแสงรังสีหรือฉีดยาคีโมเพื่อรักษามะเร็ง
5) ผู้ที่ไวต่อการเกิดภูมิแพ้
6) ผู้ที่เป็นโรคติดเชื้อทุกชนิด
7) ผู้ที่เป็นแผลหายยากหรือหายช้า
8) ผู้ที่เป็นโรคขาดสารอาหาร
9) ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ
10) ผู้ที่มีไขมันคลอเลสเตอรอลสูงในเลือด
11) ผู้ที่ต้องการชลอวัย
12) ผู้ที่ต้องการรักษาความชุ่มชื้น ฟื้นฟูสภาพผิว
13) ช่วยลดเลือนริ้วรอย และให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
14) ให้พลังงานกับเซลล์
15) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ


ตอนนี้ "ตะวัน" แปลงโฉมในกล่องใหม่แล้วคร้า
แต่ราคาเท่าเดิมค่ะ @2,500บ.
แต่เดียวก่อน หากสมัครสมาชิก ซื้อ 2 กล่อง เหลือ 3,600บ.
ตกกล่องละแค่ 1,800บ.ค่ะ ค่าสมัครตลอดชีพเพียง 500บ.
รับสินค้าทดลอง 1 ชิ้น พร้อมคู่มือธุรกิจ 1 เล่ม


สวัสดีปีใหม่ค่ะ ท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกๆ ท่าน ในศุภวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2557 นี้ ดิฉันปรียาภัสสร์ การัณยศิลป์ "ณิคกี้" ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ได้โปรดอำนวยพรอันประเสริฐทั้งมวลให้ทุกท่านได้รับความสุขสมหวังดังใจปรารถนาทุกประการ คิดเงินให้ได้เงิน คิดทองให้ได้ทอง ทำธุรกิจค้าขายให้เจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟู มีบ้าน มีรถหรูหรา สง่างามสมใจ ได้คู่คิดชิดใกล้ใช่เลย ได้กัลยาณมิตรที่ดีหนุนนำ ร่ำเรียนเขียนอ่านผ่านฉลุย นักธุรกิจอิสระเครือข่ายให้มีองค์กรแผ่ขยายได้เงินเยอะๆ เจอะเจอแต่ดาวไลน์ใฝ่ดีมีคุณธรรมล้ำเลิศเชิดชูองค์กร จะกินนอนไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ขอให้ประสบแต่ความโชคดีมีชัยตลอดปีม้าคึกคักนี้กันถ้วนทั่วนะคะ

เมื่อปลายปี 56 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้รับข่าวเศร้าเนื่องจากคนที่เคยเห็นหน้าเห็นตากันดิบดี เป็นแม่นมชื่อ "น้าปุ่น" ของหลานๆ "น้องจินายและน้องหนุน" ที่บ้านเกิด คือ จ.พิจิตร ได้ป่วยหนักด้วย"โรคมะเร็งช่องปาก" ได้ทราบข่าวจากน้องนิว น้องสาวลูกพี่ลูกน้องว่า น้าปุ่นป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล และได้สิ้นใจในเวลาต่อมา พอมาคิดๆ ดูว่าที่เราเคยเห็นน้าปุ่นนั้นมักจะชอบเคี้ยวหมาก เหมือนคุณแม่ของผู้เขียนเลย แล้วหากจะสันนิฐานถึงความเสี่ยงกับโรคมะเร็งช่องปากแล้ว ย่อมมีโอกาสสูง  ดังนั้นเรื่องราวที่ผู้เขียนได้นำเรื่องของน้าปุ่นมาแบ่งปันแด่ทุกท่านในวาระโอกาสนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ผู้เขียนไม่มีเจตนาร้ายใดๆ ที่กล่าวล่วงเกินผู้จากไปแต่อย่างใด แต่จะขอนำเสนอเรื่องราวของท่านผู้ที่จากไปนี้เพื่อให้เป็นแนวคิด เป็นอุทาหรณ์กับทุกคนต่อไป และผู้เขียนขอให้อานิสงค์นี้ส่งให้ดวงวิญญาณของน้าปุ่นได้ไปสู่สุขคติในสรรปลายภพหน้าด้วยเถิดนะคะ  และเพื่อให้เราได้ตระหนักถึงอาการของโรค ปัจจัยความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคมะเร็งช่องปากนี้ เรามาดูข้อมูลเพิ่มเติมกันเลยนะคะ


มะเร็งช่องปาก
อวัยวะในช่องปากอาจเกิดโรคมะเร็งได้ในทุกตำแหน่ง ได้แก่ ลิ้น กระพุ้งแก้ม ริมฝีปาก เหงือก เพดานปาก พื้นปากใต้ลิ้น ลิ้นไก่ ต่อมทอนซิล และส่วนบนของลำคอ

          มะเร็งในช่องปาก โดยมักพบในคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และพบน้อยลงหลังจากอายุ 60 ปีไปแล้ว แต่ปัจจุบันประชากรผู้สูงอายุมีมากขึ้นจึงอาจจะพบมะเร็งในช่องปากในผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นได้ และมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาจจะเป็นเพราะผู้ชายมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค
           1. พบว่าประมาณ 90% ของผู้ป่วยมะเร็งช่องปากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มสุรา จะมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่และดื่มสุราถึง 15 เท่า
           2. การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัดเกินไป เนื่องจากความร้อนที่มาจากอาหาร ควันบุหรี่ และแอลกอฮอล์ จะทำให้เกิดการระคายเคือง เมื่อถูกระคายเคืองอยู่เป็นประจำ ทำให้เนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และอาจทำให้กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ 
           3. หมากพลู พบว่าในหมากพลูนี้จะมีสารก่อมะเร็ง ซึ่งผู้ที่กินหมากและอมหมากไว้ที่กระพุ้งแก้มเป็นประจำจะเกิดการระคายเคืองจากความแข็งของหมากที่เคี้ยว ก็อาจทำให้เซลล์ของเนื้อเยื่อกระพุ้งแก้มเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
           4. สุขภาพในช่องปากไม่ดี เช่น ฟันผุเรื้อรัง รวมถึงการระคายเคืองจากฟันที่แหลมคมผู้ที่มีฟันแตก ฟันบิ่น ขอบฟันที่คมจะบาดเนื้อเยื่อในช่องปากโดยเฉพาะกระพุ้งแก้มและลิ้น ทำให้เป็นแผลเรื้อรังอยู่นาน ๆ แผลนั้นอาจกลายเป็นมะเร็งได้
           5. แสงแดด ทำให้เกิดมะเร็งที่บริเวณริมฝีปาก
           6. โรคติดเชื้อเรื้อรัง เช่น ซิฟิลิส วัณโรค
           7. การระคายเคืองเรื้อรัง เช่น แผลจากฟันปลอม
           8. เคยได้รับรังสีเอกซเรย์

การวินิจฉัย    
          เนื่องจากมะเร็งในช่องปาก เป็นตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่ายจากการตรวจร่างกาย ร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อจากตำแหน่งที่สงสัยเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา จึงสามารถทำให้การวินิจฉัยได้สะดวกและแม่นยำ ซึ่งขั้นตอนในการวินิจฉัยจะมีรายละเอียด ดังนี้คือ
           1. การซักประวัติ 
           2. การตรวจร่างกาย แพทย์มักจะทำการตรวจศีรษะและคออย่างละเอียด รวมถึงสำรวจผิวหนังบริเวณใบหน้า ศีรษะ และคอ สำรวจเยื่อบุในปากโดยใช้ไม้กดลิ้นช่วย หรือใช้มือคลำในช่องปากหลังถอดฟันปลอมออกแล้ว ตลอดจนใช้เครื่องส่องดูบริเวณจมูก หู และโคนลิ้น บางรายอาจตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
           3. การตรวจเลือดและอื่น ๆ เช่น ปัสสาวะ พบว่า ร้อยละ 5 ของมะเร็งในช่องปากจะให้ผลวีดีอาร์แอล (VDRL) ให้ค่าผลเป็นบวก บางรายอาจต้องเจาะเลือดตรวจดูการทำงานของตับ (Liver function test) ด้วยในรายที่สงสัยว่าจะมีการลุกลามแพร่กระจายไปยังตับ ส่วนในรายที่มีการติดเชื้อหรือมีปอดอักเสบจากการสำลักเศษอาหารเข้าปอด แพทย์มักจะส่งหนองหรือเสมหะไปเพาะเชื้อตรวจ
           4. การเอกซเรย์ จะช่วยวินิจฉัยว่ามะเร็งมีการแพร่กระจายลุกลามไปถึงกระดูกแล้วหรือไม่ และอาจช่วยพยากรณ์โรคด้วย
            5. การตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมักพิจารณาจากตำแหน่ง ขนาด และชนิดของก้อนนั่นเอง
การแพร่กระจาย

มะเร็งในช่องปาก มีการแพร่กระจายได้ 3 ทาง คือ
           1. การลุกลามแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง (Local invasion)
           2. เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่คอ (Lymphatic spread) พบได้บ่อย
           3. เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด ซึ่งพบไม่บ่อย และมักจะเกิดขึ้นในรายที่เป็นมากแล้วมะเร็งทางด้านหน้าของช่องปากมักจะโตช้าและกระจายช้ากว่ามะเร็งที่อยู่ด้านหลัง เช่น มะเร็งริมฝีปากจะโตช้ากว่ามะเร็งโคนลิ้น

อาการและอาการแสดง
           1. เริ่มด้วยมีแผลในช่องปากรักษาไม่หายเป็นเวลานานเกิน 3 สัปดาห์ขึ้นไป และไม่เจ็บปวด
           2. มีฝ้าขาวในช่องปาก ร่วมกับตุ่มนูนบนเยื่อบุช่องปากและลิ้น
           3. มีก้อนไม่รู้สึกเจ็บในช่องปาก โตเร็ว และในที่สุดก็แตกออกเป็นแผล
           4. ต่อมามีก้อนเกิดขึ้นที่คอ กดไม่เจ็บ บวมโตขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งแตกออกเป็นแผล

มะเร็งในช่องปาก 
          โดยทั่วไปแล้วในระยะเริ่มแรกของมะเร็งมักไม่มีอาการเจ็บ นอกจากมีการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วย แต่มะเร็งของลิ้นหรือลำคอในบางตำแหน่งอาจทำให้เกิดการเจ็บในหูขณะกลืนอาหารได้เพราะมีเส้นประสาทร่วมกัน บางครั้งจึงไม่ได้รับการใส่ใจกับการตรวจในช่องปากและลำคอโดยตรง
           การเป็นแผลหรือก้อนที่ตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เพดานปาก ลิ้นไก่ ลิ้น และใต้ลิ้น สำหรับมะเร็งของลิ้นและพื้นปากใต้ลิ้นอาจทำให้มีอาการแลบลิ้นไม่ออก พูดไม่ชัด กลืนอาหารไม่สะดวก เพราะการเคลื่อนไหวของลิ้นไม่เป็นปกติ ในรายที่เป็นมากอาจจะมีการฝ่อของลิ้นได้
          ในรายที่รอยโรคอยู่ใต้ขากรรไกร โดยเฉพาะเมื่ออยู่ที่เหงือกในตำแหน่งหลังต่อฟันกราม ซึ่งมีการลุกลามเข้าไปในกล้ามเนื้อที่ใช้ในการอ้าปากหรือขากรรไกรได้ง่าย จะทำให้อ้าปากได้ลำบาก
การรักษา
           การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของมะเร็ง รวมทั้งระยะของโรคสำหรับรอยโรคขนาดเล็ก อาจผ่าตัดออกได้โดยไม่ทำให้เกิดการผิดรูปของใบหน้า สำหรับในบางตำแหน่ง เช่น ริมฝีปาก การใช้รังสีรักษาจะให้ผลการรักษาที่ดีเท่ากันกับการผ่าตัด แต่มีข้อดีที่เหนือกว่า คือ ยังสามารถรักษาโครงสร้างและการทำงานปกติไว้ได้
          ส่วนในระยะลุกลาม จะใช้การรักษาร่วมระหว่างการผ่าตัดและการฉายรังสี ส่วนเคมีบำบัดนั้นอาจมีบทบาทร่วมในการลดขนาดก้อนที่ใหญ่มากก่อนเริ่มการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือฉายรังสี

วิธีแปรงฟัน การป้องกันและข้อควรปฏิบัติ 
           1. ควรแปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3 – 5 นาที
           2. ควรบ้วนปากหลังรับประทานอาหารทันทีและทุกครั้ง
           3. ควรล้างฟันปลอมชนิดถอดได้หลังรับประทานอาหารทุกครั้ง และควรถอดออกเวลากลางคืน
           4. ควรใช้ฟันทุกซี่เคี้ยวอาหาร ไม่ควรถนัดเคี้ยวข้างเดียว เพื่อให้เหงือกและฟันแข็งแรง
           5. ควรไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติถึงแม้จะไม่มีอาการเจ็บปวดก็ตาม
           6. ควรงดสิ่งเสพติด ได้แก่ เหล้า บุหรี่ ยาฉุน และหมากพลู
           7. ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
           8. ควรใช้ยาตามทันตแพทย์และแพทย์สั่ง เพื่อผลการรักษาที่ดีและป้องกันการดื้อยา
           9. หมั่นตรวจช่องปากอย่างง่าย ๆ ด้วยตนเอง
อ้างอิงkapook ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่แบ่งปันมา ณ โอกาสนี้เป็นอย่างสูงค่ะ